อเมริกันฟุตบอลคือกีฬาที่ขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายและอันตรายกับร่างกาย ชนิดที่เรียกได้ว่าหนักหนายิ่งกว่ามวยสากลอาชีพ จนถึงขั้นมีคดีฟ้องร้องกันมากมายจากผู้เล่นกับทางลีก เอ็นเอฟแอล เพราะหลายคนต้องทนทรมานกับการได้รับบาดเจ็บทางกายเรื้อรังหลังจากการเลิกเล่นไปแล้ว
ทั้งที่กีฬานี้ขึ้นชื่อในเรื่องความโหดเหี้ยม แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้เล่นบางคนยอมเห็นเงินมีค่ามากกว่าสปิริตน้ำใจนักกีฬา จนยอมที่จะตั้งใจอัดผู้เล่นคู่แข่งให้บาดเจ็บจริงเพื่อแลกกับเงินโบนัสก้อนโตเป็นการตอบแทน
นี่คือเรื่องราวสุดฉาวของ เอ็นเอฟแอล ที่กลายเป็นตราบาปที่ลีกไม่อยากพูดถึง กับการตั้งใจทำร้ายร่างกายคู่ต่อสู้ ซึ่งเสี่ยงอันตรายต่อชีวิตในระยะยาว และไม่มีใครอยากให้มันเกิดขึ้น
ยุครุ่งเรืองของ นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นที่เมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐลุยเซียนา เมื่อทีมอเมริกันฟุตบอลชื่อดังประจำเมืองอย่าง นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส กำลังไล่ล่าความสำเร็จหวังคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแฟรนไชส์
นับตั้งแต่ปี 2006 ที่ เซนต์ส คว้าตัวควอเตอร์แบ็กตัวเก่งอย่าง ดรูว์ บรีส์ พร้อมกับได้โค้ชหนุ่มอนาคตไกลอย่าง ชอน เพย์ตัน เข้ามาคุมทีม ทั้งสองคนได้เปลี่ยนเซนต์สจากทีมไม้ประดับของ เอ็นเอฟแอล มาอย่างยาวนานให้กลายเป็นทีมที่มีเกมบุกน่ากลัว จนเคยเข้าสู่รอบชิงแชมป์สาย NFC ในฤดูกาล 2006
อย่างไรก็ตามทั้งที่ในปี 2008 บรีส์ จะคว้ารางวัลผู้เล่นเกมบุกยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล แต่ว่าเซนต์สที่มีเกมรุกสุดเกรียงไกรกลับไม่ได้เข้ารอบเพลย์ออฟ เพราะมีเกมรับที่ย่ำแย่อยู่ในระดับท้ายตาราง เป็นอันดับที่ 25 ของลีกจากทั้งหมด 32 ทีม ทำให้การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญต้องเกิดขึ้น
เซนต์สได้ทำการจ้างโค้ชทีมรับคนใหม่อย่าง เกร็ก วิลเลียมส์ เข้าสู่ทีม ซึ่งโค้ชผู้มากประสบการณ์รายนี้ได้พลิกโฉมของทีมนักบุญแดนใต้ให้กลายเป็นหนึ่งในทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของแฟรนไชส์
ในฤดูกาล 2009 นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส สามารถสร้างสถิติด้วยการชิงลูกบอลจากฝ่ายตรงข้าม หรือ ได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ของแฟรนไชส์ด้วยจำนวน 35 ครั้ง ผ่านสไตล์การเล่นที่ดุดัน เข้าหนัก อัดแรง จนเป็นที่หวดผวาไปทั้งลีก
เมื่อได้เกมรับที่แข็งแกร่งมาผสานงานกับเกมรุกที่ลงตัวอยู่แล้ว ทำให้ นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ปลดล็อกความสำเร็จได้ทันที ด้วยการคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์เป็นครั้งแรกจากการเอาชนะ อินเดียนาโปลิส โคลต์ส ในการแข่งขันซูเปอร์โบวล์ครั้งที่ 44
ความแข็งแกร่งของเซนต์สยังคงต่อเนื่องหลังจากตีตั๋วเข้าสู่รอบเพลย์ออฟได้อีกในปี 2010 และ 2011 แม้จะไปไม่ถึงแชมป์ แต่ในทุกปี เซนต์ส คือทีมแกร่งและไม่มีใครกล้าตัดชื่อพวกเขาออกไปจากการลุ้นแชมป์ลีกได้
อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมของทีมเซนต์สกำลังจะถูกบดบัง ด้วยข่าวฉาวที่กำลังจะถูกเปิดเผยออกมา จนกลายเป็นสิ่งที่สะเทือนวงการ เอ็นเอฟแอล มากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์กีฬาอเมริกันฟุตบอลยุคใหม่
เล่นคน ไม่เล่นบอล
ย้อนไปในฤดูกาล 2011 นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ต้องเล่นเกมที่สำคัญที่สุดในฤดูกาล นั่นคือการแข่งขันรอบเพลย์ออฟรอบดิวิชั่นนอล ด้วยการเจอกับ ซานฟรานซิสโก โฟร์ตีไนเนอร์ส ก่อนจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไป 32 ต่อ 36
หลังจากจบเกมส์นัดนี้ ชอน เพมฟิลตัน โปรดิวเซอร์รายการโทรทัศน์ของสถานี ได้เปิดเผยคลิปเสียงที่น่าตกใจ ซึ่งมีเนื้อหาเป็นเสียงของ เกร็ก วิลเลียมส์ ที่บอกผู้เล่นเกมรับของเซนต์สให้ตั้งใจเล่นงานผู้เล่นของโฟร์ตีไนเนอร์สให้บาดเจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว เพื่อให้ทีมได้รับชัยชนะง่ายขึ้น
อเล็กซ์ สมิธ, แฟรงค์ กอร์, เวอร์นอน เดวิส และผู้เล่นเกมรุกคนสำคัญของโฟร์ตีไนเนอร์ส ถูกกล่าวถึงในห้องประชุมของทีม เพื่อเป็นเป้าหมายในการถูกเล่นงานโดยทีมรับของเซนต์สที่จะต้องอัดให้หนักเอาให้เจ็บจริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสั่งให้เล่นนอกเกมใส่ เคนดัล ฮันเตอร์ ตัววิ่งหรือรันนิ่งแบ็กของไนเนอร์ส และการสั่งให้เล่นงานที่หัวเข่าของ ไมเคิล แครบทรี ปีกของทีมคู่แข่งเช่นกัน
การเปิดเผยครั้งนี้กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วสหรัฐอเมริกา เพราะแค่จงใจสั่งให้ลูกทีมตั้งใจทำร้ายร่างกายคู่แข่งนอกเกมเพื่อหวังผลให้เกิดอาการบาดเจ็บก็แย่พออยู่แล้ว แต่เนื้อหาของคลิปเสียงยังเปิดเผยว่า นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส มีการแจกโบนัสพิเศษนอกสัญญาให้กับกลุ่มผู้เล่นทีมรับหากสามารถทำให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บได้จริงตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ข้อสงสัยนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ใน เอ็นเอฟแอล เพราะย้อนไปในปี 2009 อันเป็นปีแรกที่ เกร็ก วิลเลียมส์ เข้ามาคุมทีมรับของเซนต์ส ท่ามกลางความแข็งแกร่งและดุดันก็มีเสียงตั้งคำถามขึ้นมาว่าผู้เล่นของทีมดังจากแดนใต้เล่นหนักเกินกว่าที่ควรจะเป็นหรือไม่ ?
เพราะเซนต์สมีเกมสุดอื้อฉาวหลายเกมในปีนั้น เริ่มต้นจากเกมเพลย์ออฟรอบดิวิชั่นนอลที่พบกับ แอริโซนา คาร์ดินัลส์ ซึ่งมีการเปิดเผยว่า เกร็ก วิลเลียมส์ สั่งเก็บ เคิร์ต วอร์เนอร์ ควอเตอร์แบ็กมือทองตัวเก๋าวัย 38 ปีของคาร์ดินัลส์ โดยมีการอ้างว่าวิลเลียมส์สั่งลูกทีมให้อัดวอร์เนอร์ให้หนักจนทำให้เขาไม่สามารถกลับมาเล่นอเมริกันฟุตบอลได้อีก
ไม่ว่าเรื่องในห้องล็อกเกอร์รูมจะเป็นอย่างไร แต่ภาพความเป็นจริงในสนามคือสิ่งที่ยืนยันได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น โดยวอร์เนอร์โดนอัดหนักตลอดทั้งเกม จนเจ้าตัวยอมรับว่านี่คือเกมที่หนักหนาที่สุดในชีวิตการเป็นนักอเมริกันฟุตบอลของเขา
โดยเฉพาะการถูกอัดที่ศรีษะด้วยการถูกพุ่งโหม่งโดย บ็อบบี้ แม็คเครย์ ซึ่งปกติก็เป็นการอัดที่ผิดกฎกติกาอยู่แล้วและการอัดครั้งนั้นทำให้วอร์เนอร์นอนนิ่งอยู่บนสนามอยู่พักใหญ่ก่อนที่เขาจะต้องออกจากสนามและไม่ได้ลงเล่นอยู่นานหลายนาที ก่อนจะกลับมาเล่นอีกครั้งในช่วงท้ายเกม ซึ่งก็ไม่ดีพอที่จะช่วยให้ คาร์ดินัลส์ รอดพ้นจากความพ่ายแพ้ และส่ง นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส เข้าสู่รอบต่อไปแบบสบาย ๆ
ที่สำคัญที่สุดนี่คือเกมนัดสุดท้ายในฐานะนักฟุตบอลอาชีพของ เคิร์ต วอร์เนอร์ เพราะเจ้าตัวประกาศรีไทร์หลังจบฤดูกาล และเชื่อกันว่าเป็นเพราะการโดนเล่นงานจากทีมเซนต์สที่ทำให้วอร์เนอร์ไม่อยากเอาตัวเองมาเสี่ยงกับอาการบาดเจ็บอีกต่อไป
เคิร์ต วอร์เนอร์ ไม่ใช่เหยื่อแค่คนเดียวที่โดนสั่งเก็บในฤดูกาลนั้น แต่รวมถึง เบรต ฟาฟร์ ควอเตอร์แบ็กวัย 40 ปี เจ้าของฉายาคนเหล็กแห่ง เอ็นเอฟแอล จาก มินนิโซตา ไวกิงส์ คู่แข่งของเซนต์สในรอบชิงแชมป์สาย
ไม่ต่างจากกรณีของ เคิร์ต วอร์เนอร์ มีการเปิดเผยว่า เกร็ก วิลเลียมส์ สั่งเก็บ ฟาฟร์ และให้ลูกทีมเล่นงานจนจอมทัพจอมเก๋ารายนี้ต้องไม่สามารถกลับมาเล่นฟุตบอลได้อีกหลังจากจบเกมนี้ พร้อมกับมีการยืนยันว่าผู้เล่นคนใดก็ตามที่อัดฟาฟร์จนเล่นต่อไม่ไหวในเกมนี้ได้จะได้รับโบนัสพิเศษ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 330,000 บาทไทย
เคิร์ต วอร์เนอร์ ที่ว่าโดนเล่นงานจนน่วมในเกมก่อนหน้ายังไม่เท่ากับความหนักที่ ฟาฟร์ ต้องเจอในเกมนี้ แทบทุกดาวน์ของการเล่น ฟาฟร์ จะต้องโดนผู้เล่นทีมรับของเซนต์สอัดลงไปกองกับพื้น ไม่ว่าเขาจะถือบอลอยู่หรือไม่ก็ตาม
แม้ว่าคนเหล็กแห่ง เอ็นเอฟแอล จะพยายามยืนหยัดสู้ในสนามเต็มที่โดยไม่ยอมแพ้ต่ออาการบาดเจ็บ ทว่าสุดท้ายเขาก็ไปพลาดแจกอินเตอร์เซ็ปต์ทำให้ไวกิงส์พ่ายแพ้ ส่งเซนต์สให้เข้าสู่รอบชิงแชมป์ซูเปอร์โบวล์และคว้าแชมป์ไปในที่สุด
หลังจากเกมนัดนั้น ไวกิงส์ ส่งหลักฐานให้ เอ็นเอฟแอล โดยมีอย่างน้อย 13 ครั้งที่ทีมเชื่อว่าผู้เล่นทีมรับเซนต์สจงใจเล่นนอกเกมใส่ฟาฟร์ ขณะที่ฝ่ายบริหารของ เอ็นเอฟแอล ก็ยอมรับว่ามีการปะทะหลายครั้งในเกมนี้ที่รุนแรงและไม่ควรที่จะเกิดขึ้นในกีฬาอเมริกันฟุตบอลอาชีพ
บทสรุปที่ไม่น่าพอใจ
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น ด้วยแรงกดดันทั่วสารทิศ เอ็นเอฟแอล จึงเริ่มสืบสวนหาหลักฐานว่า นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส มีการจงใจให้ผู้เล่นเล่นงานคู่แข่งเพื่อให้ได้รับบาดเจ็บจริงหรือไม่ แต่ทางทีมเซนต์สก็ปฏิเสธมาโดยตลอด และ เอ็นเอฟแอล ก็ไม่สามารถหาหลักฐานได้
จนกระทั่งในช่วงต้นปี 2012 เอ็นเอฟแอล อ้างว่ามีหลักฐานกว่า 18,000 ชิ้นที่บอกว่า นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส มีการว่าจ้างด้วยการให้เงินโบนัสนอกสัญญาแก่ผู้เล่นที่สามารถเล่นงานนักอเมริกันฟุตบอลของทีมคู่แข่งให้บาดเจ็บได้ ด้วยการจ่าย 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 33,000 บาทให้กับผู้เล่นที่อัดคู่แข่งให้ถูกหามออกไป และจ่าย 1,500 ดอลลาร์ หรือประมาณ 50,000 บาทให้กับผู้เล่นที่อัดคู่แข่งจนสลบคาสนาม
ซึ่งใน เอ็นเอฟแอล มีกฎห้ามผู้เล่นรับค่าจ้างนอกเหนือสัญญาที่ทำกันไว้ ดังนั้นนอกจากจะเป็นการอัดหนักที่ไม่มีน้ำใจนักกีฬาแล้วยังผิดต่อกฎของ เอ็นเอฟแอล ในเรื่องของสัญญาและค่าจ้างอีกด้วย
สุดท้าย เกร็ก วิลเลียมส์ ต้นตอของเรื่องทั้งหมดได้ออกมายอมรับผิดทั้งหมด เขาขอโทษที่ไม่ยอมหยุดทุกอย่างไว้แม้ทีมจะสั่งห้าม และเลือกเดินหน้าทำเรื่องเลวร้ายทั้งหมดนี้ต่อไป พร้อมกับอยากให้บทลงโทษทั้งหมดมาลงกับเขาเพียงผู้เดียว
เกร็ก วิลเลียมส์ ถูกลงโทษแบนตลอดชีวิตจาก เอ็นเอฟแอล แต่ในภายหลังก็ถูกลงโทษแบนแค่ปีเดียวเท่านั้น ขณะที่ ชอน เพย์ตัน หัวหน้าโค้ชของ นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ก็โดนแบนไป 1 ปีเช่นกัน หลังพบว่ารับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในทีมแต่ไม่ยอมเข้าไปห้ามปราม
อย่างไรก็ตามมีผู้เล่นของเซนต์สเพียง 4 คนเท่านั้นที่ถูกแบนจากลีก ทั้งที่พบรายชื่อผู้เกี่ยวข้องทั้ง 27 คน บวกกับ นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ก็ถูกลงโทษด้วยการถูกปรับเงินเพียง 500,000 ดอลลาร์สหรัฐ และเสียสิทธิ์ดราฟต์รอบ 2 ในปี 2012 และ 2013 เท่านั้น
ด้วยการลงโทษที่เป็นการเขียนเสือให้วัวกลัวของ เอ็นเอฟแอล ทำให้ทั้งสื่อและแฟน ๆ จำนวนไม่น้อยไม่พอใจกับการลงโทษที่เกิดขึ้น พร้อมกับมองว่า เอ็นเอฟแอล ไม่มีอำนาจจริงในการจัดการผู้กระทำผิดทั้งขึ้นทั้งล่องอย่างเด็ดขาดไม่สมกับความเสื่อมเสียของกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่เกิดขึ้น
สื่อเชื่อกันว่าเหตุผลที่ เอ็นเอฟแอล ไม่ยอมลงโทษผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ในวงกว้างก็เพราะไม่อยากให้ลีกเสียหน้าและเสียภาพลักษณ์ไปมากกว่านี้ จึงเลือกลงโทษพอเป็นพิธี และใช้วิธีการลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไปให้หมดโดยไม่มีการพูดถึง ไม่มีการบอกต่อ ทำเหมือนกับว่าทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
เพราะสุดท้ายแล้ว เอ็นเอฟแอล ก็ยังมีปัญหามากมายกับคดีฟ้องร้องจากผู้เล่นในอดีต เรื่องอาการบาดเจ็บที่เรื้อรังจากการเล่นอเมริกันฟุตบอล หากเลือกยอมรับแบบเต็มตัวกับปัญหา ที่เกิดขึ้น ในทางหนึ่งก็เป็นการยอมรับว่าการเล่นในลีก เอ็นเอฟแอล คือการต้องเสี่ยงกับการปะทะที่รุนแรงเกินจริง และ เอ็นเอฟแอล ก็ยังไม่มีมาตรการที่ดีพอในการจัดการกับปัญหาเหล่านี้
ท้ายที่สุดเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นจริงของคดี ก็ไม่เคยถูกนำมาพูดถึงอีกเลยโดย เอ็นเอฟแอล แม้แต่แฟนรุ่นใหม่ ๆ จำนวนไม่น้อยก็ไม่รู้ถึงเรื่องราวนี้มาก่อน และเป็นอีกครั้งที่ เอ็นเอฟแอล ได้แสดงให้เห็นว่าไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าผลประโยชน์ของลีก ต่อให้เป็นมลทินที่แปดเปื้อนหรือเป็นเรื่องอื้อฉาวของลีกก็สามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้หากมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง
แต่หลายคนที่ยังจำเรื่องนี้ได้ก็ไม่เคยลืมเรื่องราวอันเลวร้ายที่เคยเกิดขึ้น ขณะที่การคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์สุดยิ่งใหญ่ของ นิวออร์ลีนส์ เซนต์ส ต้องมีเรื่องราวอันดำมืดมาแปดเปื้อนอย่างน่าเสียดาย ทั้งที่ในความเป็นจริง พวกเขาคือทีมที่ดีและควรได้เป็นแชมป์อย่างน่าภาคภูมิใจกว่านี้
อเมริกันฟุตบอล เป็นกีฬาที่หนักหน่วงและผู้เล่นทุกคนรู้ดี แต่สุดท้ายเราก็ต้องตระหนักว่าชัยชนะหรือเงินทอง ไม่ควรสำคัญไปกว่าชีวิตของเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน และกรณี ก็ได้ตอกย้ำความจริงว่า มนุษย์เราช่างหลงลืมความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้ง่ายเหลือเกินหากมีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง